วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2551

วรบุรี อโยธยา คอนเวนชัน รีสอร์ท

วรบุรีอโยธยา คอนเวนชัน รีสอร์ท ตั้งอยู่บริเวณแม่น้ำป่าสักอันเงียบสงบเป็นรีสอร์ทสไตล์ไทยที่เพียบพร้อมไป ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสุดทันสมัยเพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าจะได้รับความสะดวกสบายตลอดช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่ ด้วยทำเลที่ตั้งของรีสอร์ทที่อยู่ใจกลางเมืองหลวงอันเก่าแก่คุณจึงสามารถค้นพบและสัมผัสกับความงามของ เมืองหลวงในอดีตแห่งนี้ ดื่มด่ำไปกับความงามของมรดกอันล้ำค่าที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชม

ที่นี่ คุณจะมั่นใจได้ในบริการที่ได้มาตรฐานด้วยประสบการณ์ในการบริการห้องจำนวน 170 ห้อง พร้อมด้วย อาหารเมนูนานาชาติคุณภาพเกินราคาที่ไดนิ่ง รูม, ดีลุกซ์ ริเวอร์ไซด์ คอฟฟี่ช๊อป, คาราโอเกะ แอนด์
ริเวอร์ไซด์ พาวิลเลี่ยน นอกจากนี้คุณยังสามารถเลือกรับประทานอาหารเคล้าบรรยากาศกรุงเก่าได้บนเรือ สำราญที่เราจัดบริการเป็นพิเศษสำหรับแขกตั้งแต่ 40 ท่านขึ้นไปเท่านั้น บนเรือมีบริการห้องคาราโอเกะแบบ เต็มรูปแบบ ครบครันไปด้วยห้องประชุมและห้องเจรจาธุรกิจที่รับรองคุณด้วยสิ่งอำนวยความ สะดวกอาทิ เครื่องเสียงและอุปกรณ์ จอโปรเจกเตอร์แอลซีดี, เครื่องบันทึกเทป, โทรทัศน์, เครื่องฉายสไลด์, เครื่องเล่น
วีซีดี/ดีวีดี/วีดีโอ และไมโครโฟน

อยุธยา

เมืองเก่าอยุธยา หรือที่รู้จักอย่างเป็นทางการว่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในอดีตประมาณ 417 ปีก่อนเคยเป็น เมืองหลวงเก่าของราชอาณาจักรไทย ปัจจุบันคือสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่ไม่ว่าใครก็ต้องแวะมาเยี่ยมชม

ถึง แม้ว่าอยุธยาจะเป็นเมืองที่มีขนาดเล็ก มีพื้นที่เพียง 2,557 ตารางกิโลเมตรแต่ก็ได้ชื่อว่ามีความสำคัญอย่าง ยิ่งในเชิงประวัติศาสตร์เนื่องด้วยเคยเป็นเมืองหลวงของประเทศสยามมากว่า 4 ศตวรรษ การเดินทาง จากกรุงเทพไปอยุธยานั้นแสนสะดวกเพราะไปได้ทั้งทางรถยนต์ รถไฟ และทางเรือเนื่องจากอยุธยาเป็นเมืองอก แตก มีแม่น้ำสายหลักของประเทศคือแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่าน ตัวเมืองอยุธยาตั้งอยู่ห่างจากกรุงเทพไปทาง เหนือประมาณ 76 กิโลเมตร ที่นี่เป็นโบราณสถานอันเก่าแก่ที่เต็มไปด้วยสิ่งซากปรักหักพังของสิ่งก่อ สร้างที่เป็น หลักฐานแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองในยุคเฟื่องฟู ลงไปทางใต้ของเมืองจะเป็นที่ตั้งของพระราชวังบางประอินที่ ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนดอกไม้อันงดงาม นอกจากนี้จังหวัดพระนครศรีอยุธยายังเป็นที่ตั้งของศูนย์ศิลปาชีพบางไทร อันเป็นโครงการในพระราชินูปถัมภ์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรม ราชินีนาถอีกด้วย

นัก ท่องเที่ยวจะสามารถพบเห็นซากปรักหักพังและงานหัตถกรรมโบราณได้ทั่ว เมืองอยุธยา เมืองที่ถูกก่อตั้งขึ้น ในปี ค.ศ. 1350 โดยพระเจ้าอู่ทอง ในครั้งนั้นชนชาติไทยได้ถูกขับไล่จากเพื่อนบ้านในดินแดนทางเหนือให้ถอย ร่นมายังดินแดนทางใต้ ในสมัยที่อยุธยาเป็นเมืองหลวง มีกษัตริย์ผู้ปกครองทั้งสิ้น 33 พระองค์จากหลาย ราชวงศ์ อยุธยารุ่งเรืองอยู่ได้จนกระทั่งถูกพม่ารุกรานในปี ค.ศ. 1767 ซึ่งเป็นสาเหตุให้ไทยแตกพ่ายและต้อง ทิ้งเมืองในที่สุด

จากหลักฐานการบันทึกทางประวัติศาสตร์และซากโบราณสถานขนาดใหญ่ที่กระจายอยู่ ทั่วเมือง เป็นหลักฐาน พิสูจน์ได้ว่าครั้งหนึ่งอยุธยาเคยเป็นเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดแห่ง หนึ่งของทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเพื่อเป็นการรับรองความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมืองหลวง เก่าแห่งนี้ ทางยูเนสโกได้ขึ้น ทะเบียนให้อุทยานประวัติศาสตร์อยุธยาและบริเวณใกล้เคียงเป็นมรดกโลก ประกาศในปี 1991

วัดพระศรีสรรเพชญ์
ศาสนสถานที่สำคัญและโดดเด่นแห่งนี้ตั้งอยู่ในบริเวณพระบรมมหาราชวัง เช่นเดียวกับวัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว)ที่กรุงเทพ ในอดีตวัดพระศรีสรรเพชญ์เคยถูกใช้เป็นพระตำหนักที่ประทับในรัชสมัยของพระรา มาธิบดีที่ ๑ ต่อมาในยุคของพระบรมไตรโลกนาถได้มีรับสั่งให้สร้างที่ประทับใหม่ สถานที่แห่งนี้จึงถูกเปลี่ยนมาเป็นพระอารามหลวงที่ไม่มีพระและสามเณรจำพรรษา วัดพระศรีสรรเพชญ์เปิดให้เข้าชมเป็นประจำทุกวันตั้งแต่เวลา 08:00 – 18:00 น. ค่าเข้าชม 30 บาท

วิหารพระมงคลบพิตร
พระมงคลบพิตรเป็นพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่ แต่เดิมถูกประดิษฐานไว้บริเวณด้านนอกของพระราชวังฝั่งตะวันออก ต่อมาพระเจ้าทรงธรรมได้มีรับสั่งให้ย้ายมาประดิษฐาน ณ ฝั่งตะวันตกอันเป็นที่ประดิษฐานในปัจจุบัน และรับสั่งให้สร้างมณฑปครอบองค์พระไว้ ในช่วงเสียกรุงครั้งที่สอง อาคารที่ประดิษฐานและพระพุทธรูปต่างก็ถูกเผาเสียหายเป็นอย่างมาก ที่เห็นในปัจจุบันนั้นเป็นการก่อสร้างขึ้นมาใหม่ บริเวณลานกลางแจ้งทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของวิหารเคยเป็นที่จัดพระราช พิธีศพของราชวงศ์ในอดีต (ปัจจุบันจัดขึ้นที่สนามหลวงหรือทุ่งพระเมรุ, กรุงเทพ)

วัดมหาธาตุ
วัดมหาธาตุตั้งอยู่ตรงข้ามกับพระบรมมหาราชวังฝั่งตะวันออกใกล้กับสะพานป่าตาล วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระบรมราชาธิราชที่ ๑ และเป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 08:00 – 18:00 น. ค่าเข้าชม 30 บาท

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา
ตั้งอยู่บนถ. โรจนะ ตรงข้ามกับสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นสถานที่จัดแสดงโบราณวัตถุหลากหลายชนิด พระพุทธรูป และงานแกะสลัก บริเวณฐานมณฑปเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและเป็นที่เก็บรักษางานศิลปะอายุกว่า 500 ปี นอกจากนี้พิพิธภัณฑ์ยังได้จัดแสดงสิ่งประดิษฐ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่นหลากหลายหมวดหมู่ไว้อีกด้วย นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ทุกวันยกเว้นวันจันทร์และวันอังคาร เปิดให้เข้าชมตั้งแต่เวลา 09:00 – 16:00 น. ค่าเข้าชม 30 บาท

วัดหน้าพระเมรุ
วัดหน้าพระเมรุหรือชื่อเดิมคือวัดพระเมรุราชิการาม ตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งคลองสระบัวตรงข้ามกับพระบรมมหาราชวัง อุโบสถเป็นศิลปะการออกแบบตามรูปแบบศิลปะในช่วงอยุธยาตอนต้น สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือพระประธานที่ถูกประดับด้วยเครื่องแต่งกายเต็มยศตาม แบบกษัตริย์ นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปเก่าแก่ที่สร้างจากหินประดิษฐานอยู่ในวิหารเล็ก วัดหน้าพระเมรุเปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 08:00 – 17:00 น. ค่าเข้าชม 20 บาท

วัดใหญ่ชัยมงคล
วัดใหญ่ชัยมงคลถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้าอู่ทอง ตั้งอยู่นอกเมืองทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ทางเดียวกับสถานีรถไฟ เราสามารถเห็นพระเจดีย์องค์ใหญ่ได้จากระยะทางไกล ๆ พระนเรศวรมหาราชโปรดให้สร้างพระเจดีย์นี้เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะจากการ ต่อสู้บนหลังช้าง เจดีย์ขนาดใหญ่แห่งนี้มีชื่อเรียกว่า “พระเจดีย์ชัยมงคล” ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้รับกับเจดีย์ขนาดใหญ่อีกองค์ที่วัดภูเขาทอง เปิดให้ชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08:00 – 18:00 น. ค่าเข้าชม 20 บาท

วัดพนัญเชิง
วัดพนัญเชิงตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำฝั่งตรงข้ามกับตัวเมืองอยุธยา ศาสนสถานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นก่อนที่อยุธยาจะเป็นเมืองหลวงเล็กน้อย ภายในวิหารหลักเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนั่งขนาดใหญ่วัดความสูงได้ 57 ฟุตซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาของชาวไทยเชื้อสายจีน พระประธานองค์นี้มีชื่อว่า “พระเจ้าพนัญเชิง” เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางปราบมาร ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1325 วัดแห่งนี้เป็นที่แวะพักเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีชื่อเสียง และเป็นวัดที่สามารถเดินทางมาจากใจกลางเมืองเก่าได้ทางเรือ


วัดพระราม
ศาสนสถานแห่งนี้ตั้งอยู่นอกเขตบริเวณพระบรมมหาราชวังฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ สร้างขึ้นตามพระราชประสงค์ของสมเด็จพระราเมศวรเพื่อใช้ในการประกอบพระราชพิธีศพของพระบิดา(พระเจ้าอู่ทอง) บึงขนาดใหญ่บริเวณหน้าวัดมีชื่อเรียกแต่เดิมว่า “หนองโสน” ภายหลังเปลี่ยนเป็น “บึงพระราม” และเป็น “สวนสาธารณะบึงพระราม” ในปัจจุบัน เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08:00 – 18:00 น. ค่าเข้าชม 30 บาท

วัดราชบูรณะ
วัดราชบูรณะตั้งอยู่ตรงข้ามกับวัดมหาธาตุ แต่เดิมประกอบด้วยเจดีย์สององค์ที่พระบรมราชาธิราช(เจ้าสามพระยา)ทรงโปรดให้ สร้างขึ้นเพื่อเป็นอณุสรณ์สำหรับเจ้าอ้ายและเจ้ายี่ที่สู้รบเพื่อชิงพระราช สมบัติกันจนสิ้นพระชนม์ที่นี่ ต่อมาได้โปรดให้สร้างวิหารและพระปรางค์ขึ้นในบริเวณเดียวกันเพื่อยกขึ้นเป็น ศาสนสถาน วัดราชบูรณะเปิดให้เข้าชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08:00 – 18:00 น.

วัดพุทไธศวรรย์
ตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำตรงข้ามกับทางใต้ของเกาะอยุธยา ถูกสร้างขึ้นในบริเวณที่พระเจ้าอู่ทองและไพร่พลอพยพมาอยู่เป็นที่แรกก่อนที่ จะสร้างเมืองอยุธยา เดิมมีชื่อว่า “เวียงเล็ก”

วัดไชยวัฒนาราม
เป็นอีกศาสนสถานหนึ่งที่ตั้งอยู่บริเวณริมฝุ่งแม่น้ำเดียวกันกับที่วัดพุทไธศวรรย์ตั้งอยู่ แต่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของเกาะอยุธยา ถูกสร้างขึ้นตามพระราชประสงค์ของของพระเจ้าปราสาททอง พระปรางค์และเจดีย์โดยรอบยังคงตั้งอยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ วัดไชยวัฒนารามเปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08:00 – 18:00 น. ค่าเข้าชม 30 บาท

ศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยา
ตั้งอยู่บนถนนโรจนะ ศูนย์แห่งนี้เป็นเป็นสถาบันวิจัยสำหรับนักเรียนนักศึกษาที่สนใจเกี่ยวกับ เรื่องราวของอยุธยาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างช่วงที่เป็นเมืองหลวงของไทย ศูนย์การศึกษาแห่งนี้เป็นที่จัดแสดงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของอยุธยาโดย ผ่านสิ่งก่อสร้างที่จำลองแบบมาจากสถานที่จริง นอกจากนี้ทางศูนย์ยังมีบริการให้ข้อมูลการท่องเที่ยวและมีห้องสมุดอันเป็น ที่เก็บรักษาข้อมูลเกี่ยวกับอยุธยาไว้บริการอีกด้วย ศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยาเปิดให้ผู้สนใจเข้าชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09:00 – 16:30 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.(035) 245123-4 ค่าเข้าชม 100 บาท

พระที่นั่งเพนียด
พระที่นั่งแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ในการทอดพระเนตรพิธีคล้องช้าง ตั้งอยู่ที่ ต. สวนพริก อ. พระนครศรีอยุธยา ลักษณะโดยรอบเป็นกรงขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบด้วยท่อนซุง จากจุดศูนย์กลางทางด้านหน้ามีปีกกาแยกเป็นรั้วไปสองข้าง รอบเพนียดเป็นกำแพงอิฐเสมอยอดเสา ด้านหลังคอกตรงข้ามแนวปีกกาเป็นพลับพลาที่ประทับ คอกเพนียดได้รับการบูรณะให้อยู่ในสภาพเดิมในปีพ.ศ. 2531

พระราชวังฤดูร้อนบางปะอิน
บางปะอินเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งอยู่ห่างจากกรุงเทพไปทางเหนือเป็นระยะทาง 58 กิโลเมตรทางรถไฟ และ 61 กิโลเมตรทางรถยนต์ บางะอินเป็นที่รู้จักกันดีเพราะเป็นที่ตั้งของพระราชวังที่ไม่ว่านักท่อง เที่ยวคนใดก็อยากไปเยี่ยมชม เดิมทีบริเวณนี้เป็นเกาะที่มี่น้ำล้อมร้อบ ในรัชสมัยของพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ. 2173 – 2198) ได้โปรดให้สร้างวัดชุมพลนิกายารามขึ้นในที่ดินส่วนพระองค์ ต่อมาได้มีรับสั่งให้สร้างพระราชวังขึ้นบริเวณกลางเกาะเพื่อที่ใช้เป็นที่ ประทับตามฤดูกาล พระราชวังแห่งนี้ล้อมรอบด้วยทะเลสาปขนาดยาว 400 เมตรกว้าง 40 เมตร ต่อมาหลังจากสิ้นรัชสมัของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองแล้วพระราชาวังแห่งนี้ก็ ยังถูกใช้เป็นที่ประทับพักร้อนของกษัตริย์ในสมัยอยุธยาสืบต่อมา จนเมื่อราชธานีแห่งใหม่ถูกย้ายไปตั้งขึ้นที่กรุงเทพมหานคร พระราชวังบางปะอินแห่งนี้ก็ได้ถูกทิ้งร้างถึง 80 ปี จวบจนถึงสมัยของรัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรี (พ.ศ. 2394 – 2411) พระราชวังฤดูร้อนแห่งนี้จึงได้ต้อนรับการมาเยือนของพระมหากษัตริย์อีกครั้ง หนึ่ง รัชกาลที่ ๔ ทรงโปรดให้สร้างบ้านพักขึ้นในบริเวณพระราชวัง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ (พ.ศ. 2411 – 2469) ทรงโปรดสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างยิ่ง จึงโปรดให้สร้างพระราชวังดังที่เห็นในปัจจุบันและได้เสด็จมาประทับเป็นประจำ ทุกปี เกาะบางปะอินตั้งอยู่ห่างจากเกาะอยุธยาเป็นระยะทาง 40 กิโลเมตร จากตัวเมืองอยุธยาขับรถไปตามทางถ. พหลโยธิน จากนั้นเลี้ยวขวาที่ กม. 35 ขับต่อไปอีกประมาณ 7 กิโลเมตรก็จะเจอพระราชวังบางปะอิน เปิดให้เข้าชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08:00 – 16:00 น. ค่าเข้าชม 100 บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. (035) 261044,261935